ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas – GHG) คืออะไร?
ก๊าซเรือนกระจก (GHG) เป็นก๊าซในชั้นบรรยากาศที่ช่วยรักษาอุณหภูมิของโลก แต่เมื่อปริมาณเพิ่มขึ้นเกินสมดุล จะทำให้เกิด ภาวะโลกร้อน (Global Warming) และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) GHG มีทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น
ก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
• ไอน้ำ (Water Vapor) – ก๊าซเรือนกระจกหลักที่ช่วยรักษาอุณหภูมิของโลก
• โอโซน (O₃ – Ozone) – ปกป้องโลกจากรังสี UV แต่หากสะสมในชั้นบรรยากาศล่าง อาจเป็นมลพิษ
• คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂ – Carbon Dioxide) – เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การหายใจของ
สิ่งมีชีวิต และกระบวนการธรรมชาติ
• มีเทน (CH₄ – Methane) – ปล่อยจากฟาร์มปศุสัตว์ หนองน้ำ และการย่อยสลายของอินทรียวัตถุ
• ไนตรัสออกไซด์ (N₂O – Nitrous Oxide) – ปล่อยจากการเกษตรและกระบวนการอุตสาหกรรม
ก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น
• ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs – Hydrofluorocarbons) – ใช้ในเครื่องทำความเย็น
• เปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs – Perfluorocarbons) – ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
• ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF₆ – Sulfur Hexafluoride) – ใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูง
• ไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF₃ – Nitrogen Trifluoride) – ใช้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

ก๊าซเรือนกระจก เกิดจากอะไร ?
ก๊าซเรือนกระจกมีทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยมีแหล่งกำเนิดที่สำคัญดังนี้
1. การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel Combustion) เป็นแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- กิจกรรม: การผลิตไฟฟ้า การขนส่ง การใช้เครื่องจักรในอุตสาหกรรม
- ตัวอย่างเชื้อเพลิง: ถ่านหิน น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ
- ก๊าซที่ปล่อย: คาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂), ไนตรัสออกไซด์ (N₂O)
- ผลกระทบ: ปล่อย CO₂ ปริมาณมหาศาล → ทำให้โลกร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2. กิจกรรมทางการเกษตร (Agricultural Activities)
- การเลี้ยงสัตว์: โดยเฉพาะวัวและแกะ ซึ่งกระบวนการย่อยอาหารของสัตว์เหล่านี้ปล่อย มีเทน (CH₄)
- การปลูกข้าวในนาน้ำขัง: ทำให้เกิดการหมักของอินทรียวัตถุใต้ดิน → ปล่อยมีเทน
- การใช้ปุ๋ยเคมี: ก่อให้เกิด ไนตรัสออกไซด์ (N₂O) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีพลังในการกักเก็บความร้อนสูง
3. การจัดการของเสียและขยะ (Waste Management)
- ขยะอินทรีย์ที่ถูกฝังกลบ: ย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน → ปล่อยก๊าซมีเทน (CH₄)
- การเผาขยะ: ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) และบางครั้งมีสารพิษร่วมด้วย
- น้ำเสียจากชุมชนและโรงงาน: หากไม่มีการบำบัดที่ดี จะเกิดการหมักและปล่อยมีเทนออกมา
4. การตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation)
- ต้นไม้ทำหน้าที่ดูดซับ CO₂ จากชั้นบรรยากาศผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง
- เมื่อมีการตัดไม้มากเกินไป
- ปริมาณ CO₂ ในอากาศจะเพิ่มขึ้น
- คาร์บอนที่สะสมอยู่ในต้นไม้จะถูกปล่อยกลับสู่อากาศอีกครั้ง
5. อุตสาหกรรมการผลิต (Industrial Processes)
- การผลิตซีเมนต์ เหล็ก และพลาสติก มักใช้พลังงานจำนวนมากและปล่อย CO₂ ออกมา
- อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น → ปล่อยก๊าซฟลูออริเนต (Fluorinated Gases) เช่น HFCs, PFCs, SF₆
- ก๊าซเหล่านี้แม้มีปริมาณน้อย แต่มีศักยภาพในการทำให้โลกร้อนสูงมาก
6. การขนส่ง (Transportation)
- ยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลปล่อย CO₂ อย่างต่อเนื่อง
- ยิ่งรถติดนาน ยิ่งปล่อยก๊าซมาก
- เรือบรรทุกสินค้าและเครื่องบิน ก็เป็นแหล่งปล่อย CO₂ ในระดับโลกที่สำคัญ
ผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจก
1. ภาวะโลกร้อน (Global Warming)
เมื่อก๊าซเรือนกระจกสะสมในชั้นบรรยากาศมากขึ้น จะกักเก็บความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้ ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ปัจจุบันอุณหภูมิโลกสูงขึ้นแล้ว ~1.2°C เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม
- ผลกระทบเริ่มเห็นชัดเจน เช่น คลื่นความร้อน (Heatwave) ในยุโรปและเอเชียที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน
- ความร้อนที่เพิ่มขึ้นยังทำให้ป่าไม้ติดไฟง่ายขึ้น เช่น ไฟป่าในออสเตรเลีย สหรัฐฯ และแคนาดา
2. การละลายของน้ำแข็งและธารน้ำแข็ง (Ice Melting)
น้ำแข็งขั้วโลกและธารน้ำแข็งบนภูเขาต่าง ๆ กำลังละลายเร็วขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้น
- ธารน้ำแข็งหลายแห่ง เช่น ที่เทือกเขาหิมาลัย อัลป์ และอันเดส กำลังหายไป
- การละลายของน้ำแข็งที่กรีนแลนด์และแอนตาร์กติกเป็นตัวเร่งให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
- สิ่งมีชีวิตขั้วโลก เช่น หมีขั้วโลก ต้องเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เพราะไม่มีพื้นน้ำแข็งสำหรับล่าเหยื่อ
3. ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น (Sea Level Rise)
น้ำทะเลเพิ่มขึ้นจาก 2 สาเหตุหลัก คือ น้ำแข็งละลายและการขยายตัวของน้ำจากความร้อน
- หลายพื้นที่ชายฝั่งในไทย เช่น สมุทรปราการ สมุทรสาคร มีแนวโน้มถูกน้ำทะเลรุกล้ำ
- เมืองใหญ่อย่างจาการ์ตา มะนิลา และโฮจิมินห์มีความเสี่ยงสูงที่จะจมน้ำ
- ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นยังทำให้ “น้ำเค็ม” เข้ามาในแหล่งน้ำจืด ส่งผลต่อการเกษตรและการใช้น้ำของชุมชน
4. การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Disruption)
โลกกำลังเข้าสู่ภาวะที่ “สภาพอากาศแปรปรวน” มากกว่าปกติ และไม่สามารถคาดเดาได้เหมือนในอดีต
- บางพื้นที่เจอฝนตกหนักเกินควร ขณะที่บางพื้นที่แล้งนานผิดปกติ
- การเพาะปลูกพืชบางชนิดต้องปรับเปลี่ยนฤดูกาลใหม่หมด
- ความรุนแรงของพายุ เช่น ไต้ฝุ่น และเฮอร์ริเคน เพิ่มขึ้น เนื่องจากทะเลอุ่นมากขึ้น
5. ผลกระทบต่อระบบนิเวศ (Ecosystem Disruption)
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม
- สัตว์ป่าอพยพเปลี่ยนถิ่นฐาน อาจรุกล้ำพื้นที่ชุมชน
- ปะการังทั่วโลกเผชิญกับ “การฟอกขาว” เพราะอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ทำให้ระบบนิเวศใต้ทะเลเสียสมดุล
- แมลงบางชนิดขยายพื้นที่ออกไปไกลกว่าที่เคย ส่งผลต่อการแพร่โรค
6. ผลกระทบต่อเกษตรกรรมและอาหาร (Food Security)
ภาคเกษตรกรรมมีความเสี่ยงสูงจากสภาพอากาศแปรปรวน เพราะการปลูกพืชขึ้นอยู่กับความชื้น แสงแดด และฤดูกาล
- ฝนตกไม่สม่ำเสมอ ทำให้พืชผลเสียหาย เช่น ข้าว ข้าวโพด และกาแฟ
- ดินแห้งแล้ง หรือเกิดน้ำท่วมฉับพลันบ่อยขึ้น
- ปริมาณอาหารลดลง แต่ความต้องการยังสูง ทำให้ราคาอาหารแพงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย
7. ผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ (Human Health)
อากาศที่ร้อนและคุณภาพอากาศที่แย่ลงส่งผลต่อสุขภาพกายและใจของมนุษย์ทั่วโลก
- คลื่นความร้อนทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
- โรคจากยุง เช่น ไข้เลือดออก และมาลาเรีย แพร่กระจายได้ในพื้นที่ที่เคยปลอดภัย
- ควันจากไฟป่าและมลพิษจากการเผาเชื้อเพลิงทำให้โรคหอบหืด และโรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรงขึ้น
- ภัยพิบัติซ้ำซากส่งผลต่อสุขภาพจิต เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า และ PTSD
8. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ (Economic Impact)
ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ความเสี่ยงด้านการลงทุน และความผันผวนของราคา ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจทั้งระดับท้องถิ่นและระดับโลก
- ประเทศกำลังพัฒนาเผชิญกับต้นทุนการปรับตัวที่สูง
- ธุรกิจเกษตร ประมง และท่องเที่ยวได้รับผลกระทบโดยตรง
- บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหมเพิ่มขึ้น ทำให้เบี้ยประกันแพงขึ้น
- ผู้คนต้องใช้เงินมากขึ้นในการดูแลสุขภาพและซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหายจากภัยธรรมชาติ
9. ผลกระทบต่อสังคมและความมั่นคง (Social & Security Issues)
ภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้กระทบแค่ธรรมชาติ แต่ยังส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างรุนแรง
- ผู้อพยพจากภัยพิบัติ (Climate Refugees) เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ
- ความขัดแย้งเรื่องน้ำ อาหาร และที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
- ประเทศที่เปราะบางทางเศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะไร้เสถียรภาพได้ง่าย
- องค์กรความมั่นคงระหว่างประเทศเริ่มจับตาภาวะโลกร้อนในฐานะภัยคุกคามระดับโลก
GHG ที่ถูกตรวจวัดและประเมินผล
องค์กรระหว่างประเทศ เช่น IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) ได้กำหนดให้มีการติดตามและวัดผลก๊าซเรือนกระจกหลัก 7 ชนิด ได้แก่ CO₂, CH₄, N₂O, HFCs, PFCs, SF₆ และ NF₃ เนื่องจากมีผลกระทบต่ออุณหภูมิโลกในระดับที่แตกต่างกัน และค่า GWP ของ GHG แต่ละชนิดถูกกำหนดและวัดผลโดยหน่วยงาน IPCC
GWP คืออะไร ? ทำไมถึงสำคัญ ?
ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases – GHG) แต่ละชนิดมีผลต่อภาวะโลกร้อนแตกต่างกัน เราจึงใช้ค่าศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming Potential – GWP) เป็นตัวชี้วัดเพื่อเปรียบเทียบความสามารถของก๊าซแต่ละชนิดในการกักเก็บความร้อนในชั้นบรรยากาศ เมื่อเทียบกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งใช้เป็นมาตรฐาน โดยปกติค่า GWP จะถูกคำนวณในช่วงเวลา 100 ปี
ก๊าซที่มีค่า GWP สูง ส่งผลอย่างไร ?
โดยธรรมชาติ ก๊าซที่มีค่า GWP สูงจะดูดซับและกักเก็บความร้อนได้มากขึ้น ส่งผลให้ โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น เร็วกว่าปกติ
ค่า GWP บอกอะไรเรา ?
ค่า GWP (Global Warming Potential) เป็นตัวเลขที่ใช้เปรียบเทียบความสามารถของก๊าซเรือนกระจกแต่ละชนิดในการกักเก็บความร้อน ในชั้นบรรยากาศเมื่อเทียบกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานอ้างอิงที่ GWP = 1 หากก๊าซอื่นมีค่า GWP มากกว่า 1 หมายความว่า ก๊าซนั้นสามารถกักเก็บความร้อนได้มากกว่า CO₂ ในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น
• CH₄ (Methane) → GWP = 28
มีความสามารถในการกักเก็บความร้อนได้ มากกว่า CO₂ ถึง 28 เท่า ในระยะเวลา 100 ปี
• HFC-134a (สารทำความเย็น) → GWP = 1,300
หมายความว่า สารทำความเย็น R-134a กักเก็บความร้อนได้มากกว่า CO₂ ถึง 1,300 เท่า ในระยะเวลา 100 ปี เป็นต้น
GWP สูง = ผลกระทบต่อโลกร้อนมากขึ้น!
แม้ว่าก๊าซบางชนิดจะมีปริมาณน้อยในชั้นบรรยากาศ แต่หากมีค่า GWP สูง ก็สามารถส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนได้อย่างรุนแรง ดังนั้น การลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้ คือกุญแจสำคัญในการชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บริษัท แบ็กส์แอนด์โกล์ฟ ของเรา ให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกกระบวนการผลิต เราเลือกใช้ วัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และส่งเสริมการใช้ พลังงานสะอาด เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อโลก ไม่ว่าขะเป็น ถุงมือพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้โดยไม่มี Microplastic ตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อม เลือกวัตถุดิบที่มีการรับรองว่าสามารถย่อยสลายได้จริง ผลิตถุงมือพลาสติกที่มีการปล่อย Carbon Dioxide ต่ำ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ถุงมือ Low Carbon การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด หรือ การเลือกวัตถุดิบที่นำมาผลิตที่เป็น Low Carbon Material